Artwork

Player FM - Internet Radio Done Right
Checked 1d ago
Προστέθηκε πριν από four χρόνια
Το περιεχόμενο παρέχεται από το webmaster and ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana. Όλο το περιεχόμενο podcast, συμπεριλαμβανομένων των επεισοδίων, των γραφικών και των περιγραφών podcast, μεταφορτώνεται και παρέχεται απευθείας από τον webmaster and ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana ή τον συνεργάτη της πλατφόρμας podcast. Εάν πιστεύετε ότι κάποιος χρησιμοποιεί το έργο σας που προστατεύεται από πνευματικά δικαιώματα χωρίς την άδειά σας, μπορείτε να ακολουθήσετε τη διαδικασία που περιγράφεται εδώ https://el.player.fm/legal.
Player FM - Εφαρμογή podcast
Πηγαίνετε εκτός σύνδεσης με την εφαρμογή Player FM !
icon Daily Deals

นิวรณ์ 5 [6744-3d]

56:52
 
Μοίρασέ το
 

Manage episode 447498880 series 2968615
Το περιεχόμενο παρέχεται από το webmaster and ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana. Όλο το περιεχόμενο podcast, συμπεριλαμβανομένων των επεισοδίων, των γραφικών και των περιγραφών podcast, μεταφορτώνεται και παρέχεται απευθείας από τον webmaster and ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana ή τον συνεργάτη της πλατφόρμας podcast. Εάν πιστεύετε ότι κάποιος χρησιμοποιεί το έργο σας που προστατεύεται από πνευματικά δικαιώματα χωρίς την άδειά σας, μπορείτε να ακολουθήσετε τη διαδικασία που περιγράφεται εδώ https://el.player.fm/legal.

“นิวรณ์ 5” กิเลสที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม เกิดขึ้นในช่องทางใจระหว่างการปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นเครื่องขวางกั้น ทำให้จิตขุ่นมัว ไม่เป็นสมาธิประกอบด้วย 5 อย่างดังนี้

1. กามฉันทะ คือ ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ

2. พยาบาท คือ ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ

3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาความซบเซาเซื่องซึม, ความหดหู่

4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ, ความกระวนกระวายคิดไปในกาม พยาบาทเบียดเบียน

5. วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ความเคลือบแคลงเห็นแย้ง

การจะระงับนิวรณ์ได้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การมีสติ” ระลึกรู้ถึงนิวรณ์ที่เกิดขึ้น และการใช้ “กำลังของสติ” ไม่ให้จิตน้อมไปตามความคิดเหล่านั้น นั่นจะทำให้นิวรณ์อ่อนกำลังและดับไป นอกจากนี้ การไม่ตั้งความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การเจริญพรหมวิหาร 4 รวมถึงการเจริญโพชฌงค์ 7 ก็ทำให้นิวรณ์ระงับได้ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในการเจริญสมาธิภาวนา เราอาจใช้นิวรณ์เป็นกรอบนิมิตได้ว่า สมาธิช่วงไหนควรเป็นไปเพื่อให้จิตสงบ หรือช่วงไหนควรเป็นไปเพื่อการพิจารณาให้เกิดปัญญา ได้อีกด้วย

Time stamp 6744-3d:

(00:38) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ

(10:27) ความหมายของนิวรณ์

(12:42) กามฉันทะ

(23:35) ความพยาบาท

(31:25) ถีนมิทธะ

(37:15) อุทธัจจะ กุกกุจจะ

(41:12) วิจิกิจฉา

(44:47) วิธีแก้ นิวรณ์ 5

(53:50) โพชฌงค์ 7 ระงับ นิวรณ์ 5 ได้


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

  continue reading

351 επεισόδια

Artwork

นิวรณ์ 5 [6744-3d]

3 ใต้ร่มโพธิบท

published

iconΜοίρασέ το
 
Manage episode 447498880 series 2968615
Το περιεχόμενο παρέχεται από το webmaster and ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana. Όλο το περιεχόμενο podcast, συμπεριλαμβανομένων των επεισοδίων, των γραφικών και των περιγραφών podcast, μεταφορτώνεται και παρέχεται απευθείας από τον webmaster and ปัญญา ภาวนา ฟังธรรมะ ปัญญาภาวนา Panya Bhavana ή τον συνεργάτη της πλατφόρμας podcast. Εάν πιστεύετε ότι κάποιος χρησιμοποιεί το έργο σας που προστατεύεται από πνευματικά δικαιώματα χωρίς την άδειά σας, μπορείτε να ακολουθήσετε τη διαδικασία που περιγράφεται εδώ https://el.player.fm/legal.

“นิวรณ์ 5” กิเลสที่กั้นจิตไม่ให้ก้าวหน้าในคุณธรรม เกิดขึ้นในช่องทางใจระหว่างการปฏิบัติสมาธิภาวนา เป็นเครื่องขวางกั้น ทำให้จิตขุ่นมัว ไม่เป็นสมาธิประกอบด้วย 5 อย่างดังนี้

1. กามฉันทะ คือ ความพอใจในกาม, ความต้องการกามคุณ

2. พยาบาท คือ ความคิดร้าย, ความขัดเคืองแค้นใจ

3. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงเหงาความซบเซาเซื่องซึม, ความหดหู่

4. อุทธัจจกุกกุจจะ คือความฟุ้งซ่านรำคาญใจ, ความกระวนกระวายคิดไปในกาม พยาบาทเบียดเบียน

5. วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ความเคลือบแคลงเห็นแย้ง

การจะระงับนิวรณ์ได้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ “การมีสติ” ระลึกรู้ถึงนิวรณ์ที่เกิดขึ้น และการใช้ “กำลังของสติ” ไม่ให้จิตน้อมไปตามความคิดเหล่านั้น นั่นจะทำให้นิวรณ์อ่อนกำลังและดับไป นอกจากนี้ การไม่ตั้งความพอใจในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การเจริญพรหมวิหาร 4 รวมถึงการเจริญโพชฌงค์ 7 ก็ทำให้นิวรณ์ระงับได้ เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ในการเจริญสมาธิภาวนา เราอาจใช้นิวรณ์เป็นกรอบนิมิตได้ว่า สมาธิช่วงไหนควรเป็นไปเพื่อให้จิตสงบ หรือช่วงไหนควรเป็นไปเพื่อการพิจารณาให้เกิดปัญญา ได้อีกด้วย

Time stamp 6744-3d:

(00:38) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ

(10:27) ความหมายของนิวรณ์

(12:42) กามฉันทะ

(23:35) ความพยาบาท

(31:25) ถีนมิทธะ

(37:15) อุทธัจจะ กุกกุจจะ

(41:12) วิจิกิจฉา

(44:47) วิธีแก้ นิวรณ์ 5

(53:50) โพชฌงค์ 7 ระงับ นิวรณ์ 5 ได้


Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

  continue reading

351 επεισόδια

Όλα τα επεισόδια

×
 
กรรม คือ เจตนาที่มีการปรุงแต่ง (สังขาร) ออกไปทางกาย วาจา ใจ เมื่อมีการปรุงแต่งกระทำออกไปแล้ว ย่อมมีผลหรือมีวิบากของกรรมนั้นอย่างแน่นอน เรื่องของกรรมเป็น “อจินไตย” คือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรคิด เพราะถ้าคิดแล้วอาจจะทำให้เป็นบ้าได้ ในที่นี้หมายถึง เป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ด้วยตรรกะสามัญของปุถุชน (ตามนัยยะ อจินติตสูตร) ตราบใดที่เมื่อยังมีการปรุงแต่งกรรมอยู่ การให้ผล (วิบาก) ของกรรมนั้น ก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยของกรรมนั้นเสมอ ผลของกรรมจึงมีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ความคิดที่ว่า “ผลของกรรม เกิดจากรรมเก่าอย่างเดียวเท่านั้น” ความคิดอย่างนี้ยังไม่ถูกต้อง เพราะผลของกรรมไม่ได้เกิดจากกรรมเก่าอย่างเดียว แต่อาจเกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของสังขารนาม-รูปในปัจจุบัน (ตามนัยยะ 8 อย่างใน สีวกสูตร) ประเภทผลของกรรม แบ่งออกเป็น 4 หมวด แต่ละหมวดแยกเป็น 4 ประเภท (รวม 16 ประเภท) 1. แบ่งโดยหน้าที่ คือ กรรมที่ให้ไปเกิด (ยังวิบากให้เกิดขึ้น-มีสภาวะการเกิด) / อุปถัมภ์สนับสนุนให้กรรมนั้นมีพลังมากยิ่งขึ้น / เบียดเบียนกรรมนั้นให้อ่อนกำลังลง / ตัดรอนกรรมนั้นไม่ให้ส่งผล 2. แบ่งตามลำดับการให้ผล คือ ให้ผลในลำดับแรกก่อน / ให้ผลเวลาใกล้ตาย / กรรมที่กระทำบ่อยๆ สั่งสมไว้ ให้ผลในชาติต่อมา / กรรมที่ผู้กระทำไม่มีเจตนา แต่ย่อมให้ผล (ในห้วงของสังสารวัฏ) 3. แบ่งตามเวลา คือ ให้ผลรวดเร็วปัจจุบันทันด่วน / ให้ผลในชาติหน้า / ให้ผลในชาติต่อๆ มา / ไม่มีโอกาสให้ผล 4. แบ่งตามฐานะการให้ผล คือ ให้ผลไปเกิดในอบายภูมิ / สุคติภูมิ / รูปพรหม / อรูปพรหม ฟัง “เรื่องของ “กรรม” (ตอนที่ 2)-กรรมเป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ” Time stamp 6811-3d: (00:32) ปฏิบัติภาวนา เจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ (12:25) เรื่องของ “กรรม” ตอนที่ 3 (15:45) เรื่องของกรรมเป็น “อจินไตย” (21:51) ทำกรรมอย่างไร ได้ผลของกรรมอย่างนั้น (26:54) สิวกสูตร ว่าด้วยสีวกปริพาชก (34:09) ประเภทของกรรม แบ่งเป็น 4 หมวด (รวม 16 ประเภท) (37:11) กรรมแบ่งตามหน้าที่ของกรรม (45:44) กรรมแบ่งตามเวลา (48:39) กรรมแบ่งตามลำดับการให้ผล (52:39) กรรมแบ่งตามฐานะการให้ผล Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
“กรรม” (กัมมะ) คือ เจตนาของจิตที่เมื่อมีผัสสะมากระทบแล้วเกิดการปรุงแต่งออกไป ทางกาย (กายกรรม) วาจา (วจีกรรม) และใจ (มโนกรรม) เป็นอกุศลกรรมบ้างหรือกุศลกรรมบ้าง หรือเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม (อริยมรรคมีองค์ 8) กรรมเป็นสิ่งที่บุคคลควรทราบ – ทำความเข้าใจกรรมผ่าน “นิพเพธิกสูตร” เรากล่าวซึ่ง “เจตนา ว่าเป็นกรรม” เพราะว่าบุคคลเจตนาแล้ว ย่อมกระทำซึ่งกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ หมายถึง เจตนาที่อยู่ในจิตที่ประกอบไปด้วย ราคะ โทสะ และโมหะ (กิเลส) จากมากไปจนถึงเบาบาง (อกุศล-กุศล) หรือจนไม่เหลือ จึงพ้นจากกรรม คือ “สิ้นกิเลส สิ้นกรรม” ด้วย อริยมรรคมีองค์ 8 เหตุเกิดแห่งกรรม คือ ผัสสะ (อาศัยผัสสะเป็นแดนเกิด) ความมีประมาณต่าง ๆ แห่งกรรม คือ กรรมที่ทำให้ไปเกิดในอบาย, มนุษยโลก, เทวโลก ได้แก่ อกุศลกรรมบถ 10 และกุศลกรรมบถ 10 วิบาก คือ ผลแห่งกรรม มีระยะเวลาการให้ผล คือในปัจจุบันทันควัน / ในเวลาต่อมา / ในเวลาต่อ ๆ มา ความดับไม่เหลือแห่งกรรม คือ ความดับแห่งผัสสะ (เมื่อมีผัสสะกระทบแล้วไม่เข้าถึงจิต) ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8 การเข้าถึงกระบวนการสิ้นกรรม คือให้เราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 จนครบจนเต็มรอบ ผลแห่งความสมบูรณ์ในการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 จะทำให้เราพ้นจากกรรมได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
“กรรม” คือ การกระทำที่เกิดจากเจตนาของจิตที่ถูกกระตุ้นผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ แล้วปรุงแต่งออกไป ทาง 3 ช่องทาง คือ 1. ทางกาย เป็น กายกรรม 2. ทางวาจา เป็น วจีกรรม 3. ทางใจ เป็น มโนกรรม ทำความเข้าใจเรื่องของ “กรรม” ผ่านพุทธพจน์ที่ว่า.. “เรามีกรรมเป็นของๆตน เราจักเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น” หมายถึง เมื่อมีเหตุแล้ว ย่อมมีผล “เรามีกรรมเป็นแดนเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธ์” คำว่า “เผ่าพันธ์” หมายถึง ผลของการกระทำนั้น “เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมอันใดไว้” คำว่า “ที่พึ่งอาศัย” หมายถึง ลักษณะที่สะสมอยู่ในจิต หรือ “อาสวะ” “เป็นกรรมดีก็ตาม เป็นกรรมชั่วก็ตาม” คือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม “เราจักต้องเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น” คือ ได้รับผลของการกระทำนั้น “เราทั้งหลายพึงพิจารณาเนืองๆอย่างนี้แล” ผลของการพิจารณา คือ เกิดปัญญา และ มีอุเบกขา กรรม 4 อย่าง กรรมดำ มีวิบากดำ – กรรมชั่ว การปรุงแต่งไปในทางเบียดเบียน ผลคือ เข้าถึงความเป็นสัตว์นรก กรรมขาว มีวิบากขาว – กรรมดี ปรุงแต่งไปในทางไม่เบียดเบียน ผลคือ เข้าถึงสวรรค์ กรรมทั้งดำทั้งขาว มีวิบากทั้งดำทั้งขาว – ปรุงแต่งไปในทางเบียดเบียนบ้างไม่เบียดเบียนบ้าง เสวยเวทนาสุขและทุกข์เจือปน เช่น พวกมนุษย์ เทพบางพวก กรรมไม่ดำไม่ขาว มีวิบากไม่ดำไม่ขาว เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม คือ อริยมรรคมีองค์ 8 การทำที่สุดแห่งทุกข์ปรากฏขึ้นได้ เพราะการกระทำ กรรมเรากำหนดได้จากการกระทำของเรา อยู่ที่ว่าจะตั้งเจตนาของจิตให้ปรุงแต่งไปในทางไหน ไปในทางสิ้นกรรม คือ ไม่มี ราคะ โทสะ และโมหะประกอบอยู่ในกรรม กรรมจึงอยู่ตรงที่เราเลือก เราจะอยู่เหนือกรรมได้ก็เพราะการกระทำของเราตรงนี้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
จรณะคือข้อปฏิบัติให้ถึงปัญญาข้อปฏิบัติที่ทำวิชชาให้เกิดขึ้นได้ ข้อปฏิบัตินี้มี 15 อย่าง จรณะมีความหมายเดียวกันกับเสขะปฏิปทาคือข้อปฏิบัติของผู้ที่ยังต้องฝึกต้องปฏิบัติต่อ ข้อปฏิบัติของผู้ที่ยังไม่บรรลุธรรมขั้นสูง บุคคลที่ต้องการบรรลุธรรมจึงต้องปฏิบัติตามเสขะปฏิปทา ดังนั้นจรณะ15 ก็คือเสขะปฏิปทาที่มีเนื้อหาแจงออกเป็น 15 ประการ ตามนัยยะของเสขะปฏิปทาสูตร ประกอบด้วย 4 หมวดคือ ศีล1, อปัณณกปฏิปทา3,สัปปุริสัทธรรม 7 และฌาน4 ซึ่งแจกแจงได้ดังนี้ 1.ศีล ได้แก่ ศีล5 ศีล8 ศีล10 และศีล227 2.อปัณณกปฏิปทา3 คือข้อปฏิบัติให้ถึงความเจริญงอกงามในธรรม ได้แก่ 1.อินทรีสังวร(สำรวมอินทรีย์) 2.โภชเนมัตตันญุตา(รู้จักประมาณในการบริโภค) 3.ชาคริยานุโยค(การประกอบความเพียรอยู่ในธรรมอันเป็นเครื่องตื่น) 3.สัปปุริสัทธรรม7 ได้แก่ 1.มีศรัทธา 2.มีหิริ 3.มีโอตตัปปะ 4.เป็นพหูสูต 5.มีความเพียรอันปรารภแล้ว 6.มีสติ7. มีปัญญา 4.ฌาน4 คือการเพ่ง,สมาธิ ได้แก่ 1.ปฐมฌาน(วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคคตา) 2.ทุติยฌาน(ปีติ สุข เอกัคคตา) 3.ตติยฌาน(สุข เอกัคคตา) 4.จตุตถฌาน(อุเบกขา เอกัคคตา) จรณะ 15 อย่าง คือข้อปฏิบัติที่เจาะจงลงมาสำหรับบุคคลที่ยังไม่บรรลุธรรม เมื่อนำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติก็จะสามารถทำวิชชาให้เกิดขึ้นได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
ได้นำเอา ขัตติยสูตร ที่ว่าด้วยความประสงค์ 5 อย่างของบุคคล 6 ประเภท มาอธิบายขยายความ เพื่อให้ทราบถึงความต้องการที่เหมือนกัน หรือแตกต่างกันของบุคคลแต่ละประเภท เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาความเข้าใจ และสานสัมพันธภาพที่ดีในระหว่างบุคคล เริ่มจากความประสงค์เพื่อให้สมตามสิ่งที่ปรารถนา ในบุคคลแต่ละประเภทนั้น ย่อมมีความประสงค์ต้องการเพื่อให้สมความปรารถนาสูงสุด อย่างเช่น กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี มีความประสงค์โภคทรัพย์ และนิยมปัญญาเหมือนกัน แต่สิ่งที่เสริมกำลังความมั่นใจเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการ และให้ถึงความเป็นที่สุดแตกต่างกัน สตรี นิยมประดับตกแต่งเพื่อประสงค์บุรุษ มีบุตรเป็นกำลัง และไม่ต้องการหญิงอื่นร่วมสามี มีความเป็นใหญ่ในบ้านเป็นที่สุด โจร นิยมที่เร้นลับเพื่อประสงค์ลักทรัพย์ มีอาวุธเป็นกำลัง และต้องการที่มืด ไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นล่วงรู้ สมณะ นิยมปัญญา มีความประสงค์ขันติ และโสรัจจะ มีศีลเป็นกำลัง และต้องการความไม่มีกิเลสเครื่องกังวล มีนิพพานเป็นที่สุด ข้อสังเกต ความต้องการที่เป็นไปเพื่อดับความต้องการ มีความเป็นอิสระพ้นจากอำนาจกิเลสเครื่องร้อยรัดมีในบุคคลผู้ที่มีปัญญาเห็นตามความเป็นจริง อ่าน “ขัตติยสูตร” พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
ในโลกปัจจุบันนี้มีเรื่องขัดแย้งวุ่นวายเกิดขึ้นหลายเรื่องราว บางเรื่องก็หาทางออกไม่ได้เหตุเพราะมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้น การมีเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้นขึ้นนั้นมีเหตุเริ่มมาจาก “ตัณหา” คือ เมื่อมีตัณหาจะทำให้เกิดการแสวงหา ทำให้มีการได้ เมื่อได้มาทำให้มีการปลงใจรัก แล้วก่อให้เกิดความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ ทำให้มีความสยบมัวเมาอย่างจับอกจับใจ จึงทำให้มีความตระหนี่ จึงทำให้มีการหวงกั้น แล้วจึงทำให้มีเรื่องราวจากการหวงกั้นนั้น ความขัดแย้งวุ่นวายต่างๆที่เกิดขึ้นเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วย พรหมวิหาร4 พรหมวิหาร4 คือ คุณธรรมสำหรับเป็นที่อยู่ของจิตใจแห่งพรหม คือผู้ใหญ่หรือผู้ประเสริฐ ประกอบด้วย 1.เมตตา : ความรักความปรารถนาดีให้ผู้อื่นมีความสุข 2.กรุณา : อยากให้ผู้อื่นพ้นจากความทุกข์ 3.มุทิตา : ยินดีพอใจเมื่อผู้อื่นมีความสุข 4.อุเบกขา : วางเฉยในผัสสะที่น่าพอใจไม่น่าพอใจ การใช้งานพรหมวิหาร 4 ในแก้ไขเรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้นนั้น ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ 3 ลักษณะคือ ต้องไม่มีเงื่อนไข ต้องไม่มีประมาณ และไม่มีการผูกเวรคือไม่เว้นใครไว้ การนำพรหมวิหาร4 มาใช้ในชีวิตประจำวันนั้นต้องแสดงออกให้เห็นในลักษณะที่คนอื่นเขาจะรับรู้ได้ คือต้องแสดงออกมาให้เห็น ทั้งทาง กาย วาจา และใจ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
“โพธิปักขิยธรรม” คือองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ มี 7 หมวด 37 ประการได้แก่ สติปัฏฐาน4 สัมมัปปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5 พละ5 โพชฌงค์7 มรรคมีองค์8 องค์ธรรมทั้ง 7 หมวดนี้คือองค์ธรรมแห่งการตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน ในครั้งนี้จะกล่าวให้เห็นความเหมือนและต่างกันขององค์ธรรมเหล่านี้ คู่แรกคือ “อินทรีย์5” กับ “พละ5” เหมือนกันโดยองค์รวม คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา แต่อธิบายคนละนัยยะ คือความเป็นใหญ่และความไม่หวั่นไหว พระพุทธเจ้าได้อุปมาธรรม 2 หมวดนี้ เปรียบเหมือนแม่น้ำสองสายที่แบ่งโดยเกาะกลางแต่ก็เป็นแม่น้ำสายเดียวกันและย่อมจะมาบรรจบกัน “สติปัฏฐาน”คือฐานที่ตั้งให้เกิดการระลึกถึงคือตั้งจิตเกาะติดไว้ให้มั่นที่กาย เวทนา จิต ธรรม ส่วน“สัมมัปปธาน”คือความเพียร เป็นลักษณะของการต้องขูดเกลาต้องพัฒนา กำจัดอกุศลธรรมรักษากุศลธรรมให้มีมากขึ้น สัมมัปปธานก็คือสัมมาวายามะ “อิทธิบาท” คือฐานที่ตั้งแห่งความสำเร็จ ได้แก่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา “ โพชฌงค์” ได้แก่ สติสัมโพชฌงค์ก็คือสติปัฏฐาน4 พอมีสติแล้วก็จะเห็นตามจริงทำให้เกิดธัมมวิจยะ ให้เกิดวิริยะ เกิดปิติ เกิดความสงบ เกิดสมาธินำสู่อุเบกขาได้ ทางทั้งหลายที่เดินมานี้ท่านเปรียบเหมือนรอยเท้าของสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดคือรอยเท้าช้าง เปรียบธรรมะทั้งหมดที่กล่าวมานี้อยู่ใน “มรรค8”ทั้งหมดเลย มรรค8คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง ดังนั้น โพธิปักขิยธรรม จึงเป็นธรรมะที่จะนำพาจิตของเราให้ไปสู่นิพพานได้ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
ผู้ที่มีดวงตา ก็จะสามารถใช้ตามองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ และจะสามารถแสวงหาสิ่งที่ต้องการได้ ในตอนนี้จะกล่าวถึง “การแสวงหา 2 อย่าง ด้วยตา 2 ข้าง” โดยจะกล่าวนัยยะการใช้ดวงตา มาแยกบุคคลได้ 4 จำพวกดังนี้ 1. คนตาบอด คือ บุคคลที่ไม่มีดวงตา (คือปัญญา) มองหาลู่ทางที่จะให้ได้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้ มองไม่เห็นทางที่จะทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่งอกเงยขึ้น และไม่มีดวงตา ที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล อันมีโทษและไม่มีโทษ หยาบและละเอียด 2. คนมีตาข้างเดียว คือ บุคคลที่มองเห็นลู่ทางที่จะทำให้ได้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้นั้นมา และมองเห็นลู่ทางที่จะทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่งอกเงยขึ้น แต่ไม่มีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมทั้งหลายอันเป็นกุศลและอกุศล และอาจแสวงหาทรัพย์มาด้วยทางที่ไม่ดี 3. คนมีตา 2 ข้าง คือ บุคคลที่มองเห็นลู่ทางที่จะทำให้ได้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้นั้นมา และมองเห็นลู่ทางที่จะทำให้ทรัพย์ที่มีอยู่งอกเงยขึ้น และมีดวงตาที่เป็นเหตุจะให้รู้ธรรมเห็นธรรม 4. คนที่มีตาที่ 3 คือ มีตาสมบูรณ์ คือ ดวงตาที่เห็นอริยสัจ 4 เห็นสิ่งที่เหนือบุญเหนือบาป การแสวงหา 2 อย่าง 1. การแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ (อนริยปริเยสนา ) คือการแสวงหาสิ่งที่ยังมี ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน นั่นคือแสวงหาทุกข์ 2. การแสวงหาที่ประเสริฐ (อริยปริเยสนา ) คือการแสวงหาทางที่จะทำให้พ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความโศกร่ำไรรำพัน นั่นคือแสวงหาหนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์ ลำดับขั้นที่นำไปสู่การแสวงหาตามนัยยะ สังยุตตนิกาย สนิทานสูตร คือ 1. ธาตุ ความหมายรู้ในกาม บังเกิดขึ้นเพราะอาศัยกามธาตุ 2. สัญญา ความดำริในกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความหมายรู้ในกาม 3. สังกัปปะ ความพอใจในกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความดำริในกาม 4. ฉันทะ ความเร่าร้อนเพราะกามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความพอใจในกาม 5. ปริราหะ การแสวงหากามบังเกิดขึ้นเพราะอาศัยความเร่าร้อน 6. แสวงหา เมื่อแสวงหากาม ย่อมปฏิบัติผิดโดย ฐานะ 3 คือ กาย วาจา ใจ ทางอกุศลเกิดขึ้นอย่างไรในทางกุศลก็เกิดขึ้นอย่างนั้นเช่นกัน Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
“สติ” เป็นตัวช่วยจัดระเบียบจิตใจของเรา สติที่ท่านพระสารีบุตรอธิบายเจาะจงลงไปคือ เครื่องมือที่ชื่อว่า “กายคตาสติ” โดยท่านอุปมาลักษณะของจิตไว้ 9 อย่าง คือ จิตเสมอด้วยดิน จิตที่มีสติตั้งไว้ก็จะเหมือนกับดินไม่ว่าใครจะทิ้งของสะอาดหรือไม่สะอาด ดินก็ยังเป็นดินเสมอ จิตเสมอด้วยน้ำ จิตที่มีสติตั้งไว้ก็จะเหมือนกับน้ำไม่ว่าใครจะทิ้งของสะอาดหรือไม่สะอาด น้ำก็ยังเป็นน้ำเสมอ จิตเสมอด้วยไฟ จิตที่มีสติตั้งไว้จะเหมือนกับไฟจะไม่อึดอัดเปลี่ยนแปลงตามสิ่งที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจ จะกว้างขวางเสมอกัน จิตเสมอด้วยลม จิตที่มีสติตั้งไว้ก็จะเหมือนกับลมเมื่อมีสิ่งใดมากระทบกับอารมณ์ไม่ว่าดีหรือไม่ดีก็ตาม ย่อมเสมอกันหมด จิตเปรียบด้วยผ้าเช็ดธุลี จิตที่มีสติตั้งไว้จะเป็นจิตกว้างขวางรับทั้งสิ่งดีและไม่ดีโดยไม่รังเกียจเหมือนผ้าขี้ริ้วที่เช็ดได้ทุกอย่าง มีจิตเหมือนเด็กจัณฑาล ถ้ามีสติตั้งไว้แล้วก็จะมีจิตเหมือนจิตเด็กจัณฑาลที่นอบน้อม อดทน มีจิตเหมือนโคเขาขาด จิตที่มีสติตั้งไว้จะเหมือนโคที่เขาขาดจะเจียมตัวและระมัดระวังเสมอ มีจิตเหมือนคนรักสวยรักงาม ที่มีซากศพ ซากงู มาแขวนคล้องคอไว้ จิตที่มีสติตั้งไว้จะไม่ยึดถือกายว่าเป็นของเรา มีจิตเหมือนภาชนะที่ก้นทะลุใส่น้ำมันไว้ต้องคอยประคับประคองไม่ให้น้ำมันล้นออก จิตที่มีสติตั้งไว้จะบริหารกายอย่างระมัดระวัง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
“ปัญญา” ในความหมายของพุทธศาสนาคือ การตระหนักรู้หรือตระหนักรู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของความเป็นจริงที่เหนือกว่าความเข้าใจทั่วไป คือสิ่งที่เมื่อเรารู้และเข้าใจแล้วจะทำความสุขอันยั่งยืนที่เหนือกว่าสุขเวทนา สุขที่ระงับ สุขที่เป็นความสงบเย็น พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงเหตุปัจจัยที่ให้ได้ปัญญาที่ยังไม่ได้และเพื่อความบริบูรณ์แห่งปัญญาที่ได้แล้วไว้ 8 ประการ ได้แก่ มีครูบาอาจารย์ เข้าไปตั้งจิตไว้ซึ่งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพอย่างแรงกล้า โดยการพิจารณาคุณสมบัติของครูผู้เป็นกัลยาณมิตร 7 ประการ คือ 1) เป็นที่รักเป็นที่พอใจ 2) เป็นที่เคารพ 3) เป็นผู้ควรสรรเสริญ 4) เป็นนักพูด 5) เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ 6) เป็นผู้พูดถ้อยคำลึกซึ้งได้ และ 7) ไม่ชักนำในทางไม่ดี เข้าไปหาแล้วไต่ถาม และรู้จักตั้งคำถาม โดยต้องมีศรัทธาและเข้าไปหาในเวลาที่เหมาะสม ได้สงบกาย ความสงบใจ เมื่อฟังธรมนั้นแล้วต้องนำมาประพฤติปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ย่อมได้ความสงบ 2 อย่าง คือ ความสงบกายและความสงบจิตอย่างถึงพร้อม เป็นผู้มีศีล ศีลเป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง ต้องสำรวมระวังในศีลให้ถึงพร้อม มีความปรกติเห็นภัยในโทษของการทุศีลแม้มีประมาณน้อย เป็นผู้ทรงสุตะและสั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก จำไว้คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฏฐิซึ่งธรรมทั้งหลายอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ปรารภความเพียรเพื่อละอกุศลธรรม เมื่อจิตเราเข้าใจในกุศลธรรมแล้วก็นำมาทบทวนซ้ำ ๆ เพื่อความพร้อมมูลแห่งกุศลธรรม เป็นผู้มีกำลัง มีความบากบั่นมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมนั้น ๆ เมื่อกุศลธรรมเพิ่มขึ้นมากเท่าใด อกุศลธรรมก็จะลดลงเช่นกัน กล่าวเรื่องธรรมวินัย ไม่พูดเรื่องต่าง ๆ ที่ขวางหนทางธรรม ไม่ดูหมิ่นการนิ่งอย่างพระอริยเจ้า สามารถปล่อยวางขันธ์ 5 พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ 5 คือเห็นความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ทุกคนล้วนส่งความสุขให้กันและกัน ในตอนนี้จะกล่าวถึงสุขที่ควรเสพและไม่ควรเสพ เราต้องมีปัญญาที่จะแยกแยะได้ว่าสุขแบบไหนที่ควรเสพและไม่ควรเสพ พระพุทธเจ้าแบ่งความสุขออกเป็น 2 ประเภทได้แก่ ความสุขที่เกิดจากมิจฉาทิฏฐิ คือความสุขที่เสพแล้วกิเลสเพิ่มขึ้น จิตใจชุ่มไปด้วยกาม ความสุขประเภทที่ไม่ควรเสพนี้มี 4 อย่างคือ 1.ความสุขที่เกิดจากการฆ่า 2.ความสุขที่เกิดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ 3.ความสุขที่เกิดจากการวจีทุจริต คือการจงใจกล่าวเท็จ การพูดเพ้อเจ้อ การพูดคำหยาบ 4.การเอิบอิ่มเพรียบพร้อมอยู่ด้วยกามคุณทั้ง 5 ความสุขที่เกิดจากสัมมาทิฏฐิ คือ ความสุขที่เสพแล้วกิเลสลดลงความเศร้าหมองของจิตใจลดลง จิตใจผ่องใสและบริสุทธิ์ขึ้น ความสุขประเภทที่ควรเสพนี้มี 4 อย่างคือ 1.เป็นสุขที่อาศัยปีติที่เนื่องด้วยจากความตริตรึก คือ วิตกวิจาร และวิเวก 2.สุขที่อาศัยปีติสุขที่ต่อเนื่องด้วยความที่จิตเป็นอารมณ์อันเดียว โดยไม่อาศัยการตริตรึก 3.ความสุขที่เกิดจากวางอุเบกขาในปีติสุขนั้น 4.อุเบกขาล้วน ๆ โดยไม่มีสุข เป็นความระเอียดของจิตที่สามารถพัฒนาได้ พลังของสมาธิทั้ง 4 ขั้นนี้เป็นสิ่งที่ควรเสพ ควรทำให้มาก ควรทำให้เจริญ และเมื่อนำไปพิจารณาอย่างแยบคายจะทำให้เป็นผู้ที่เข้าถึงกระแสแห่งอริยบุคคลทั้ง 4 จำพวก ได้แก่ โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ในการทำจิตให้เป็นสมาธินั้น การเจริญพรหมวิหาร4 อันประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา จะช่วยทำให้จิตเป็นสมาธิได้รวดเร็วและมีสมาธิที่เข้มแข็งขึ้น โดยต้องมีคุณสมบัติที่ประกอบด้วย 3 ลักษณะนี้คือ ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีประมาณ และไม่มีการผูกเวร Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
ในพุทธศาสนานี้มีผู้สอนเพียงผู้เดียว คือพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่สามารถสอนได้อย่างดี อย่างงามและเมื่อนำคำสอนไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ก็จะให้ผลที่ดีที่งามอย่างมาก ซึ่งความสามารถในการบอกสอนของพระพุทธเจ้าตรงนี้เรียกว่า ภควา คือเป็นผู้จำแนกแจกธรรม ในที่นี้จะกล่าวถึงวิธีสอนของพระพุทธเจ้า โดยจะนำนัยยะต่างๆมากล่าวดังนี้ นัยยะที่1.คุณสมบัติของผู้แสดงธรรม ต้องมีลักษณะดังนี้ 1.แสดงไปตามลำดับ 2. ยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ 3. แสดงด้วยความเมตตา 4.อย่าเห็นแก่อามิส 5. แสดงโดยไม่กระทบตนและคนอื่น นัยยะที่2.ทรงเปรียบเทียบให้เห็นถึงการแสดงธรรมที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์ โดยทรงปรารภพระมหากัสสปะในจันทูปมาสูตร ว่าผู้พรากกายพรากจิตได้ จึงจะเข้าสู่ตระกูลและแสดงธรรมได้ หากไม่สามารถพรากกายพรากจิตได้เมื่อเข้าสู่ตระกูลก็จะติดพัน มุ่งหวังในลาภสักการะ ลักษณะแบบนี้จะเป็นการแสดงธรรมที่ไม่บริสุทธินั่นเอง นัยยะที่3.ลีลาคำสอนของพระพุทธเจ้า มี 4 ลักษณะ 1.สันทัสสนา คืออธิบายให้เห็นชัดเจน แจ่ม แจ้ง เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นกับตา 2.สมาทปนา คือชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตาม จนต้องยอมรับและนำไปปฏิบัติ 3.สมุตเตชนา คือเร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิด และให้เกียรติแก่ผู้เรียน ให้เขามีความภูมิใจในตัว กำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้ สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก 4.สัมปหังสนา คือการทำให้ร่าเริง หรือปลุกให้ร่าเริง นัยยะที่4. การตอบคำถามของพระพุทธเจ้ามี 4 ลักษณะ คือ1.ตอบแบบตรงๆ 2.ตอบโดย ถามกลับ 3.แยกแยะตอบ 4.ตอบ โดยเงียบไม่ตอบ นัยยะที่5. การถามของพระพุทธเจ้า มี 5 ลักษณะ คือ1.ถามเพราะรู้อยู่แล้ว, 2.ไม่รู้จึงถาม, 3.ถามเพื่อข่มผู้อื่น, 4.ถามด้วยปรารถนาลามก, 5.ถามเพราะไม่รู้ด้วยความเขลา นัยยะที่6. การสอนด้วยความพอเพียง ได้แก่ 1.พอเพียงเพื่อตนเอง, 2.พอเพียงเพื่อผู้อื่น Time stamp 6752-3d: (00:50) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ (09:05) วิธีสอนของพระพุทธเจ้า (12:27) คุณสมบัติของผู้แสดงธรรม (12:42) 1. แสดงไปตามลำดับ (12:46) 2. ยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ (12:50) 3. แสดงด้วยความเมตตา (12:54) 4. อย่าเห็นแก่อามิส (12:57) 5. แสดงโดยไม่กระทบตนและคนอื่น (14:00) จันทูปมาสูตร : ปรารภพระมหากัสสปะ (26:27) ลีลาคำสอนของพระพุทธเจ้า มี 4 ลักษณะ (33:24) การตอบคำถามของพระพุทธเจ้ามี 4 ลักษณะ (41:26) การถามของพระพุทธเจ้า มี 5 ลักษณะ (47:31) การสอน ด้วยความพอเพียง Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
สิ่งที่ควรพิจารณาเนืองๆ 5 ประการ 1.เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ คือต้องไตร่ตรองใคร่ครวญอยู่เป็นประจำ ตริตรึกด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยศรัทธา จนเข้าไปสู่จิตใจ ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ อานิสงส์ที่จะได้รับคือ จะทำให้ละความเพลินความมัวเมาในความเป็นหนุ่มสาวได้ 2.เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ พิจารณาให้เห็นว่ากายนี้เป็นรังแห่งโรค ไตร่ตรองใคร่ครวญอยู่เป็นประจำ ตริตรึกถึงความเจ็บไข้ด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยสัมมาทิฏฐิ จนเข้าไปสู่จิตใจ ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ จะทำให้ละความมัวเมาในความไม่มีโรคได้ 3.เรามีความตายเป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายมีซ่อนอยู่ในชีวิต พิจารณาให้เห็นว่าเซลล์ร่างกายเรานี้ตายอยู่ทุกวัน ให้ใคร่ครวญตริตรึกถึงความตายด้วยจิตที่เป็นสมาธิ ด้วยปัญญา จนเข้าไปสู่จิตใจ ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ จะทำให้ละความมัวเมาในชีวิตไปได้ 4.เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พิจารณาให้เห็นถึงความพลัดพลากจากสิ่งที่รักสิ่งที่ชอบใจอยู่เนืองๆ จะทำให้คลายกำหนัดจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ ทำให้จิตไม่มัวเมาลุ่มหลงในกิเลส 5.เรามีกรรมเป็นของตน ถ้าพิจารณาสิ่งนี้อยู่เนืองๆ จะทำให้เราไม่กล้าคิดชั่ว ทำชั่ว ทำให้เป็นผู้ประพฤติกาย วาจา ใจ อันสุจริต Time stamp 6751-3d: (00:24) ปฏิบัติภาวนา เจริญกายคตาสติ (06:40) สิ่งที่ควรพิจารณาเนือง ๆ (22:12) เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ (49:09) เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ (52:43) เรามีความตายเป็นธรรมดา จะไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ (54:41) เรามีความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ (56:02) เรามีกรรมเป็นของตน (56:49) ข้อควรพิจารณาเนือง ๆ สำหรับนักบวช Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
การบูชา ที่มีสิ่งของประกอบในการบูชานั้น เรียกว่าอามิสบูชา และถ้าเจาะจงว่ามีผู้รับสิ่งของที่ให้นั้นจะเรียกว่า “ทาน” คือการให้ แต่ถ้าตั้งไว้เฉยๆโดยไม่มีผู้รับชัดเจน แต่หวังว่าจะมีผู้รับเรียกว่า “ยัญ” ในที่นี้จะกล่าวถึง การบูชายัญ โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ใน กูฏทันตสูตร เป็นการกล่าวถึงการบูชายัญที่ถูกต้องไว้กับกูฏทันตพราหมณ์ ลักษณะยัญที่มีองค์ประกอบ 33 อย่างซึ่งเมื่อบูชาแล้วมีผลมาก แบ่งเป็นหมวดๆดังนี้ 4 อย่างแรก คือ ได้ฉันทานุมัติ จากคนทั้งประเทศ ได้แก่ 1.เจ้าผู้ครองเมืองต่างๆ 2.อำมาตย์ราชบริพารผู้ใหญ่ 3.พราหมณ์มหาศาล 4.คหบดีผู้มั่งคั่ง 8 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้บูชา ได้แก่ 1.มีชาติตระกูลดี 2.มีรูปงดงาม 3.มีโภคทรัพย์สมบัติมาก 4.มีแสนยานุภาพอันเกรียงไกร 5.มีความใจบุญมีเมตตา 6.มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ เพื่อรอบรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี 7.มีความเป็นนักปราชญ์บัณฑิตเต็มภาคภูมิ 8.มีวิสัยทัศน์ 4 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้ให้คำแนะนำ ได้แก่ 1.มีชาติตระกูลดี 2.มีความรอบรู้ในสรรพวิชาความรู้ 3.มีศีล เพื่อความไว้วางใจว่าไม่เป็นผู้มีนอกมีใน 4.เป็นบัณฑิตมีปฏิภาณไหวพริบในการแก้ปัญหา อย่างน้อยเป็นลำดับที่ 2 ของปราชญ์ทั้งแผ่นดิน 3 อย่างคือ ต้องไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองของเครื่องบูชา ได้แก่ 1.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองก่อนการบูชา 2.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองระหว่างการบูชา 3.ไม่เดือดร้อนใจจากความสิ้นเปลืองหลังการบูชา 10 อย่างคือ ลักษณะของผู้รับเอาเครื่องบูชา ได้แก่ 1.ทั้งพวกที่ฆ่าสัตว์ ทั้งพวกที่เว้นจากการฆ่าสัตว์ 2.ทั้งพวกที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ 3.ทั้งพวกที่ประพฤติผิดในกาม ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการประพฤติผิดในกาม 4.ทั้งพวกที่กล่าวคำเท็จ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเท็จ 5.ทั้งพวกที่กล่าวคำส่อเสียด ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำส่อเสียด 6.ทั้งพวกที่กล่าวคำหยาบ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำหยาบ 7.ทั้งพวกที่กล่าวคำเพ้อเจ้อ ทั้งพวกที่เว้นขาดจากการกล่าวคำเพ้อเจ้อ 8.ทั้งพวกที่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา ทั้งพวกที่ไม่เพ่งเล็งอยากได้ของของเขา 9.ทั้งพวกที่มีจิตพยาบาท ทั้งพวกที่ไม่มีจิตพยาบาท 10.ทั้งพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ทั้งพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิ 4 อย่างคือ คุณสมบัติคนที่มาร่วมด้วย ได้แก่ 1.พวกเจ้าผู้ครองเมืองตั้งโรงทานในทิศตะวันออก 2.พวกอำมาตย์ตั้งโรงทานในทิศใต้ 3.พวกพราหมณ์มหาศาลตั้งโรงทานในทิศตะวันตก 4.พวกคหบดีตั้งโรงทานในทิศเหนือ องค์ประกอบเหล่านี้เป็นการบูชายัญที่ให้ผลมาก มีการตระเตรียมมากและสิ้นเปลืองมาก พระพุทธเจ้าทรงบอกแก่กูฏทันตพราหมณ์ว่ายังมีการบูชาที่สิ้นเปลืองน้อยแต่ได้อานิสงค์มาก ได้แก่ 1.การให้ทานเป็นประจำ(นิตยทาน) 2.วิหารทาน 3.การถึงไตรสรณคมน์ 4.การรักษาศีล 5.การทำสมาธิ Time stamp 6750-3d: (00:40) ปฏิบัติภาวนา เจริญอานาปานสติ (06:49) กูฏทันตสูตร การบูชายัญ (07:45) กูฏทันตสูตร การบูชายัญ (37:28) ลักษณะยัญที่มีองค์ประกอบ 33 อย่าง (37:43) 4 อย่าง คือ ได้ฉันทานุมัติ จากคนทั้งประเทศ (37:47) 8 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้บูชา (37:53) 4 อย่างคือ คุณสมบัติของผู้ให้คำแนะนำ (38:00) 3 อย่างคือ ความสิ้นเปลืองของเครื่องบูชา (38:10) 10 อย่างคือ ลักษณะของผู้รับเอาเครื่องบูชา (38:33) 4 อย่างคือ คุณสมบัติคนที่มาร่วมด้วย (42:59) การบูชาที่สิ้นเปลืองน้อยและได้อานิสงค์มาก Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
ในมุมมองของคนที่มักโกรธ พอโกรธหรือไม่พอใจใครแล้ว ก็จะมองคน ๆ นั้นด้วยความเป็นศัตรูทันที เขาจึงเห็นว่าความโกรธมีเพื่อที่จะทำให้ตนเองรู้สึกดี เพราะเขาจะมีความมุ่งหมาย 7 ประการนี้แก่ผู้เป็นศัตรู คือ 1) หวังให้เขามีผิวพรรณทราม 2) หวังให้เขาเป็นทุกข์ 3) หวังให้เขาไม่มีความเจริญ 4) หวังให้เขาปราศจากโภคทรัพย์ 5) หวังให้เขาปราศจากยศตำแหน่ง 6) หวังให้เขาปราศจากเพื่อน และ 7) หวังให้เขาตกนรกโดยเร็ว ก็แล้วทำไมคนที่มักโกรธจึงจะมีทุกข์มีปัญหา? พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนใน “โกธนสูตร” ว่า บุคคลผู้มักโกรธนั้น มีผิวพรรณทราม นอนเป็นทุกข์ ได้ความเจริญแล้วก็ยังถึงความเสื่อม บุคคลผู้มักโกรธ ถูกความโกรธครอบงำ ทำการเข่นฆ่าทางกาย วาจา ย่อมประสบความเสื่อมทรัพย์ บุคคลผู้มัวเมาด้วยความมัวเมาเพราะโกรธ ย่อมถึงความเสื่อมยศ ญาติมิตรและสหาย ย่อมหลีกเว้นบุคคลผู้มักโกรธความโกรธก่อความเสียหาย ความโกรธทำจิตให้กำเริบ บุคคลผู้มักโกรธย่อมไม่รู้ภัยที่เกิดจากภายใน บุคคลผู้โกรธย่อมไม่รู้อรรถ บุคคลผู้โกรธย่อมไม่เห็นธรรม ความโกรธครอบงำนรชนในกาลใด ความมืดย่อมมีในกาลนั้น บุคคลผู้โกรธย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยากเหมือนทำได้ง่าย ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้ บุคคลผู้โกรธย่อมแสดงความเก้อยากก่อนเหมือนไฟแสดงควันก่อน ความโกรธเกิดขึ้นในกาลใด คนทั้งหลายย่อมโกรธในกาลนั้น บุคคลผู้โกรธไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่มีคำพูดที่น่าเคารพ บุคคลผู้ถูกความโกรธครอบงำไม่มีความสว่างแม้แต่น้อยฯ เพื่อไม่ให้ได้รับโทษจากความโกรธนั้น เราก็ไม่ควรโกรธใคร ๆ เลย แม้จะมีเหตุผลที่น่าโกรธจริง ๆ ก็ไม่ควรโกรธอยู่ดี พระพุทธเจ้าท่านได้ทำเป็นตัวอย่างแล้ว ในจิตใจของท่านมองเห็นทุกคนด้วยความไม่เป็นศัตรู มองเห็นทุกคนด้วยความเป็นมิตร ไม่โกรธใครเลย แม้เขาจะทำไม่ดีก็ตาม ดังเช่น พระพุทธองค์ไม่โกรธพระเทวทัต แต่บอกอานิสงส์ที่ทำดีแล้วจะได้ผลดีอย่างนี้ ๆ บอกโทษของการทำไม่ดีแล้วจะได้ผลไม่ดีอย่างนี้ ๆ ท่านก็แสดงไปตามเหตุผล ความโกรธเกิดขึ้นมาได้อย่างไร? พระพุทธเจ้าตรัสบอกเอาไว้ใน “มหานิทานสูตร” ว่า ที่เรามาถึงจุดที่ลงมือลงไม้ด่าว่ากัน คิดประทุษร้ายกันได้ เหล่านี้ทั้งหมดนั้นเรียกว่า “เรื่องราวที่เกิดจากการหวงกั้น” ซึ่งอาศัยความตระหนี่จึงทำให้เกิดการหวงกั้น เพราะมีความยินดี รักใคร่ จับอกจับใจคือยึดติดแล้ว จึงมีความตระหนี่ได้ และเพราะความสยบมัวเมา ลุ่มหลง ปลงใจรัก ในสิ่งที่แสวงหา (ความอยากคือตัณหา) จิตเราจึงเป็นทาสของสิ่งนั้น ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลินคือโมหะ จึงเป็นรากฐานของโทสะ ราคะ นั่นเอง สิ่งนี้จึงต้องระวัง แม้แต่ความดี เรายังโกรธเพราะการแสวงหาความดีได้ เป็นอุปัทวะ (อันตราย) คือถ้ามีคนทำไม่ดี ยังยึดติดในความดีนี้อยู่ไหม ในนามของความดี ฉันขอทำชั่ว ไปโกรธคนทำไม่ดีนั้น มันก็ไม่ได้เรื่อง ไล่ลำดับขั้นของความโกรธในทางจิตใจ เริ่มจาก มีความยินดี (รติ) ความไม่ยินดี (อรติ) ---> ความไม่พอใจ ความขัดเคือง (ปฏิฆะ)---> แต่ถ้ายังหยุดไม่ได้ก็จะกลายเป็น ความโกรธ (โกธะ) ---> และเมื่อเพลินไปในความโกรธนั้น ก็จะนำไปสู่ โทสะ มันจึงเริ่มออกมาภายนอกเป็นการกระทำทางวาจา ทางกาย คิดประทุษร้ายลงมือลงไม้ เริ่มเป็นกรรมแล้ว ที่จะทำให้เกิดอาสวะ เป็นการผูกพยาบาทข้ามภพข้ามชาติได้ ดังนั้นถ้าเรามีเงื่อนไขของความสุขมาก มันก็จะทุกข์ทันที Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.…
 
Loading …

Καλώς ήλθατε στο Player FM!

Το FM Player σαρώνει τον ιστό για podcasts υψηλής ποιότητας για να απολαύσετε αυτή τη στιγμή. Είναι η καλύτερη εφαρμογή podcast και λειτουργεί σε Android, iPhone και στον ιστό. Εγγραφή για συγχρονισμό συνδρομών σε όλες τις συσκευές.

 

icon Daily Deals
icon Daily Deals
icon Daily Deals

Οδηγός γρήγορης αναφοράς

Ακούστε αυτήν την εκπομπή ενώ εξερευνάτε
Αναπαραγωγή